สายตาสั้น เป็นปัญหาที่พบบ่อย แต่หลายคนไม่รู้ว่าสายตาสั้นแค่ไหนที่จัดว่า อันตราย และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ วันนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจระดับความรุนแรงของสายตาสั้น สัญญาณเตือนที่ควรระวัง และวิธีดูแลดวงตาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การมองเห็นคือหนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญที่สุดของเรา และ สายตาสั้น หรือ ภาวะสายตาผิดปกติชนิดใกล้เคียง (Myopia) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั่วโลก แต่หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าสายตาสั้นแค่ไหนถึงเรียกว่า “อันตราย” หรือเป็นสัญญาณที่ต้องให้ความสำคัญ วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจกันว่า สายตาสั้นระดับไหนที่ควรระวัง และทำไมเราจึงไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้

สายตาสั้นคืออะไร? ทำไมเราถึงมองเห็นไม่ชัด?

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าสายตาสั้นคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยปกติแล้ว แสงที่เข้ามาในดวงตาของเราจะหักเหผ่านกระจกตาและเลนส์ตา ก่อนจะไปตกกระทบที่จอประสาทตา (Retina) อย่างพอดี ทำให้เรามองเห็นภาพชัดเจน


แต่สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น แสงจะไปตกกระทบ ก่อนถึงจอประสาทตา ทำให้ภาพที่เราเห็นนั้นเบลอ ไม่คมชัด โดยเฉพาะเมื่อมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไป สาเหตุหลัก ๆ มาจาก

  • กระบอกตายาวเกินไป เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อกระบอกตายาวกว่าปกติ ทำให้ระยะโฟกัสของแสงไม่พอดีกับจอประสาทตา
  • กระจกตาหรือเลนส์ตามีความโค้งมากเกินไป ทำให้การหักเหแสงมีกำลังมากเกินไป แสงจึงตกกระทบก่อนถึงจอประสาทตา


วัดระดับความรุนแรงของสายตาสั้น

ค่าสายตาสั้นจะถูกวัดเป็น หน่วยไดออปเตอร์ (Diopter) โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือตรวจวัดและระบุค่าสายตาเป็นตัวเลขติดลบ เช่น -1.00 D, -2.50 D หรือ -6.00 D ยิ่งตัวเลขติดลบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่ามีภาวะสายตาสั้นมากเท่านั้น โดยทั่วไปสามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ดังนี้:

สายตาสั้นเล็กน้อย – ค่าสายตาอยู่ที่ -0.25 ถึง -3.00 ไดออปเตอร์

สายตาสั้นปานกลาง – ค่าสายตาอยู่ที่ -3.25 ถึง -6.00 ไดออปเตอร์

สายตาสั้นมาก – ค่าสายตาตั้งแต่ -6.00 ไดออปเตอร์ขึ้นไป


สายตาสั้นแค่ไหนถึงเรียกว่า อันตราย และต้องระวัง?

โดยทั่วไปแล้ว สายตาสั้นที่ควรให้ความสำคัญและจัดอยู่ในระดับอันตราย หรือมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนทางตา คือสายตาสั้นตั้งแต่ -6.00 ไดออปเตอร์ขึ้นไป หรือที่เรียกว่า High Myopia

แม้ว่าสายตาสั้นระดับน้อยถึงปานกลางมักจะแก้ไขได้ด้วยการใส่แว่น คอนแทคเลนส์ หรือการทำเลสิก แต่สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมากๆ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่อดวงตาก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากโครงสร้างของดวงตาที่ผิดปกติ เช่น กระบอกตาที่ยาวมากเกินไป ทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ภายในดวงตาถูกยืดออกและบางลง


ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก

ผู้ที่มี สายตาสั้น ตั้งแต่ -6.00 ไดออปเตอร์ขึ้นไป ควรได้รับการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอและใกล้ชิด เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้

  • จอประสาทตาเสื่อมจากสายตาสั้น – จอประสาทตาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับการมองเห็น หากเกิดความเสื่อมบริเวณจุดรับภาพชัด อาจทำให้การมองเห็นลดลงอย่างถาวร
  • จอประสาทตาฉีกขาด/หลุดลอก – เมื่อกระบอกตายาว จอประสาทตาจะถูกยืดออก ทำให้มีความบางและอ่อนแอ อาจเกิดการฉีกขาดหรือหลุดลอกได้ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็น
  • ต้อหิน – ผู้ที่มีสายตาสั้นมากมีความเสี่ยงในการเกิดต้อหินสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2-3 เท่า ต้อหินคือภาวะที่เส้นประสาทตาถูกทำลาย มักเกิดจากความดันในลูกตาที่สูงขึ้น นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
  • ต้อกระจก ชนิดเกิดก่อนวัยอันควร – แม้ว่าต้อกระจกมักจะเกิดกับผู้สูงอายุ แต่ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก ๆ อาจเป็นต้อกระจกตั้งแต่อายุน้อยลง ซึ่งเลนส์ตาจะขุ่นมัวทำให้การมองเห็นแย่ลง
  • ตาเหล่/ตาเข – ในบางกรณี ผู้ที่มีสายตาสั้นมาก ๆ โดยเฉพาะในเด็ก อาจทำให้เกิดภาวะตาเหล่หรือตาเขได้


สัญญาณเตือนที่ต้องรีบพบแพทย์

ไม่ว่าคุณจะมีค่าสายตาเท่าไหร่ หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันที

  1. ฟ้าผ่า หรือจุดแสงกะพริบ โดยเฉพาะเมื่อมีการขยับศีรษะหรือดวงตา
  2. เห็นจุดดำคล้ายหยากไย่ หรือเส้นลอยไปมาจำนวนมากผิดปกติ และจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  3. มองเห็นภาพเป็นม่านดำ หรือเงาบังการมองเห็นบางส่วน คล้ายมีผ้าม่านมาปิดบังภาพ
  4. การมองเห็นลดลงอย่างรวดเร็ว หรือพร่ามัวลงกว่าเดิมมาก
  5. ปวดตาหรือปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการมองเห็นผิดปกติร่วมด้วย


การดูแลและป้องกันสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้น

  • แม้ว่าสายตาสั้นส่วนใหญ่จะเกิดจากพันธุกรรมและปัจจัยทางโครงสร้างดวงตา แต่การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมก็สามารถช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้
  • ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่มีสายตาสั้นมาก ควรตรวจจอประสาทตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์
  • ใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์ตามค่าสายตาที่ถูกต้อง เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนและลดการเพ่ง
  • จำกัดเวลาการใช้สายตาในระยะใกล้ พักสายตาเป็นระยะเมื่อใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ โดยใช้กฎ 20-20-20 คือ ทุก 20 นาที ให้พักสายตา 20 วินาที โดยมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไป 20 ฟุต
  • ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง แสงธรรมชาติมีส่วนช่วยในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของสายตาสั้น โดยเฉพาะในเด็ก
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตา เช่น ผักใบเขียวเข้ม ผลไม้ และอาหารที่มีวิตามิน A C E และ Omega-3 สูง
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ เพื่อลดแรงกดดันต่อดวงตา

สรุป

สายตาสั้น เป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม แต่หากเป็นสายตาสั้นในระดับที่รุนแรง (-6.00 ไดออปเตอร์ขึ้นไป) ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางตาที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ ดังนั้น การหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของดวงตา และการตรวจสุขภาพตาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีสายตาสั้นมาก จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ดวงตาของเราอยู่กับเราไปนานๆ

เตรียมตัวพบกับมิติใหม่ของการเสี่ยงโชค Globallotto แพลตฟอร์มหวยออนไลน์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย 100% โปร่งใส ปลอดภัย และถอนเงินรางวัลได้จริง ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน